คำถาม ... ปุ๋ยเคมีกับปุ๋ยอินทรีย์แตกต่างกันอย่างไร?
เฉลย ...
ปุ๋ย (Fertilizer) คือ ธาตุอาหารที่พืชต้องการสำหรับการเจริญเติบโต
ปุ๋ยก็เปรียบได้กับอาหารที่เรารับประทานกันในทุก ๆ วัน เราใช้ธาตุอาหารสำหรับการเจริญเติบโตและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย พืชก็ใช้ปุ๋ยในการเจริญเติบโตด้วยเช่นกัน การให้ปุ๋ยที่ถูกต้องเหมาะสมย่อมทำให้พืชเจริญเติบโตอย่างที่ควรจะเป็น ให้ผลผลิตที่เพียงพอ คุ้มต่อต้นทุนการผลิต
พืชต้องการปุ๋ย เช่นเดียวกับร่างกายของเราต้องการอาหาร |
ปุ๋ยที่เกษตรกรใช้กันอยู่นั้นแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ ปุ๋ยเคมีและปุ๋ยอินทรีย์ ซึ่งปุ๋ยทั้ง 2 ชนิดนี้มีความแตกต่างกันดังนี้
1. ปุ๋ยอินทรีย์
ปุ๋ยอินทรีย์ (Organic fertilizer) เป็นปุ๋ยที่ได้จากมูลสัตว์ เศษซากพืชซากสัตว์ เศษอาหาร รวมถึงของเหลือจากการเกษตรและน้ำหมักชีวภาพชนิดต่าง ๆ ผ่านการหมักอย่างเหมาะสม จนได้ปุ๋ยที่มีธาตุอาหารเหมาะสมกับการเจริญเติบโตของพืช
ข้อดี/ข้อเสียของปุ๋ยอินทรีย์
- ราคาถูกกว่าปุ๋ยเคมี
- มีธาตุอาหารครบถ้วน
- ช่วยบำรุงดินในระยะยาว ช่วยให้ดินโปร่ง ร่วนซุย
- ไม่เป็นอันตรายต่อจุลินทรีย์ที่เป็นประโยชน์ที่อาศัยอยู่ในดิน
- ไม่ทำให้ดินแข็ง
- ไม่มีสารตกค้าง
- ลดต้นทุนการผลิต
- ใช้ได้กับพืชทุกชนิด
- เกษตรกรสามารถผลิตได้เอง
- ผลผลิตต่ำกว่าปุ๋ยเคมี
การใช้ปุ๋ยอินทรีย์นั้น ดีต่อโครงสร้างของดินในระยะยาว |
2. ปุ๋ยเคมี
ปุ๋ยเคมี (Chemical fertilizer) เป็นธาตุอาหารที่ได้จากสารสังเคราะห์ทางเคมี โดยสามารถกำหนดปริมาณธาตุอาหารที่ต้องการได้ รวมถึงหาซื้อได้ทั่วไป ไม่ต้องเสียเวลาหมักเหมือนปุ๋ยอินทรีย์
ข้อดี/ข้อเสียของปุ๋ยเคมี
- มีธาตุอาหารครบถ้วน
- สามารถกำหนดส่วนผสมที่ต้องการได้
- ธาตุอาหารอยู่ในรูปพร้อมใช้งาน พืชนำไปใช้ได้ทันที
- ได้ผลผลิตสูงกว่าในเวลาอันรวดเร็ว
- ไม่ต้องเสียเวลาหมัก ซื้อมาแล้วใช้ได้ทันที
- มีราคาแพงกว่าปุ๋ยอินทรีย์
- เกิดสารตกค้างในดิน ถ้าใช้อย่างไม่ถูกต้องหรือใช้มากเกินไป
- ทำให้ต้นทุนการผลิตสูง
- ต้องเลือกสูตรให้เหมาะสมกับพืชแต่ละชนิด
- เกษตรกรผลิตเองไม่ได้ ต้องซื้อเท่านั้น
ปุ๋ยเคมี เราเลือกชนิดและปริมาณของธาตุอาหารได้ |
จะเห็นว่าปุ๋ยเคมีและปุ๋ยอินทรีย์นั้นมีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกันออกไป เราควรศึกษาให้ดีก่อนที่จะเลือกใช้ เพื่อจะได้เหมาะสมต่อพืชที่เรากำลังจะปลูกรวมถึงความต้องการของผู้บริโภคด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในการผลิตสินค้าออร์แกนิกนั้นต้องใช้ปุ๋ยอินทรีย์เท่านั้น ห้ามใช้ปุ๋ยเคมีเด็ดขาด แต่สำรับการปลูกเพื่อการค้า หรือการปลูกแปลงใหญ่นั้น ยังจำเป็นต้องใช้ปุ๋ยเคมีเพื่อให้ได้ผลผลิตมากพอกับต้นทุนที่ลงไปและสามารถผลิตป้อนตลาดได้อย่างเพียงพอ
ปัจจุบันนิยมใช้การปลูกพืชแบบผสมผสานมากขึ้น กล่าวคือ นิยมใช้ปุ๋ยอินทรีย์หรือปุ๋ยคอกในขั้นตอนการเตรียมดิน รวมถึงการเพาะต้นกล้า เมื่อย้ายต้นกล้าลงแปลงปลูกจริง ก็จะเริ่มให้ปุ๋ยเคมี เพื่อให้พืชเติบโตได้เร็วขึ้น รวมถึงให้น้ำหมักชีวภาพควบคู่ไปด้วย ด้วยวิธีแบบนี้จะทำให้ได้ผลผลิตสูง ใช้ปุ๋ยเคมีน้อยลง ลดสารตกค้างในดิน ไม่ทำร้ายจุลินทรีย์ในดิน และลดต้นทุนการผลิตไปในตัวอีกด้วย